Schema Markup คือโค้ดชุดหนึ่งที่เพิ่มเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อช่วยให้ Google และ Search Engine อื่นๆ เข้าใจข้อมูลบนหน้าเว็บได้ชัดเจนและลึกซึ้งขึ้น โดย Schema จะอธิบายประเภทและความหมายของข้อมูล เช่น สินค้า, รีวิว, เหตุการณ์, บุคคล ฯลฯ ซึ่งช่วยให้ Google สามารถจับคู่ข้อมูลกับคำค้นหาได้แม่นยำขึ้น และเพิ่มโอกาสให้เว็บไซต์แสดงผลในรูปแบบ Rich Snippets ที่มีข้อมูลเสริม เช่น คะแนนรีวิว, ราคา, รูปภาพ ทำให้ผลการค้นหาดูน่าสนใจและดึงดูดผู้ใช้มากกว่าแบบปกติ.
การใช้ Schema Markup มีประโยชน์สำคัญดังนี้
- ช่วย Google Bot เข้าใจเนื้อหาเว็บไซต์ได้ดีขึ้น โดย Schema จะถูกฝังในรูปแบบ JSON-LD, Microdata หรือ RDFa ในโค้ด HTML ของหน้าเว็บ.
- เพิ่มโอกาสแสดงผล Rich Snippets ซึ่งเป็นผลการค้นหาที่มีข้อมูลเสริม เช่น ดาวรีวิว, ราคา, สถานะสินค้า ช่วยเพิ่ม CTR (อัตราการคลิก) และ Traffic.
- ช่วยเพิ่มอันดับ SEO เพราะ Google สามารถตีความบริบทของเนื้อหาได้ดีขึ้น ทำให้จับคู่คำค้นหาได้แม่นยำและแสดงผลที่เหมาะสม.
- มีหลายประเภทของ Schema ให้เลือกใช้ตามลักษณะเนื้อหา เช่น Product, Review, Event, Person, Article, How-To, Organization เป็นต้น เพื่อให้เหมาะสมกับข้อมูลบนเว็บไซต์.
ตัวอย่างโค้ด Schema Markup แบบ JSON-LD สำหรับสินค้า:
<script type="application/ld+json">
{
"@context": "https://schema.org",
"@type": "Product",
"name": "กล้องถ่ายรูป DSLR",
"image": "https://example.com/dslr-camera.jpg",
"description": "กล้องถ่ายรูปคุณภาพสูงสำหรับมืออาชีพ",
"brand": {
"@type": "Brand",
"name": "Canon"
},
"aggregateRating": {
"@type": "AggregateRating",
"ratingValue": "4.8",
"reviewCount": "124"
}
}
</script>
การติดตั้ง Schema Markup สามารถทำได้ง่ายโดยไม่จำเป็นต้องเป็นโปรแกรมเมอร์ โดยใช้เครื่องมือสร้างโค้ด Schema ฟรี เช่น Merkle's Schema Markup Generator แล้วนำโค้ดไปวางในส่วน <head> หรือ <body> ของหน้าเว็บ.
สรุปคือ การใช้ Schema Markup เป็นกลยุทธ์ SEO ทางเทคนิคที่ช่วยให้ Google เข้าใจข้อมูลเว็บไซต์ได้ดีขึ้น เพิ่มโอกาสแสดงผล Rich Snippets ที่ดึงดูดผู้ใช้ และส่งผลดีต่ออันดับการค้นหาและจำนวนผู้เข้าชมเว็บไซต์.
